"The limits of my language mean the limits of my world."
— Ludwig Wittgenstein
สวัสดีค่ะชาว Dek-D ในยุคไร้พรมแดนแบบนี้ไม่เพียงแค่คนทั่วโลกสามารถติดต่อสื่อสารกันง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้เราและโอกาสใหม่ๆ สามารถเดินทางข้ามประเทศมาหากันจนเจอด้วย ซึ่งแน่นอนคือต้องอาศัย 'ภาษา' เป็นตัวเชื่อม สำหรับใครที่กำลังฝึกฝนภาษาที่ 2, 3, 4... เราขอเสิร์ฟกำลังใจกับเรื่องราวของผู้หญิงชื่อสุดเก๋ 'รักกัลป์ เตี๋ยสกุล' (กี้) ที่พยายามจนฝึกพูดได้ 5 ภาษา ซึ่งช่วยต่อยอดไปเจอโอกาสดีๆ ทั้งแลกเปลี่ยน-ฝึกงานที่เยอรมนี, ทำงานในบริษัทต่างชาติ และล่าสุดเพิ่งได้ทุน Erasmus Mundus Joint Master Degrees (ERASMUS+) ไปเรียน ป.โทใน 3 ประเทศ ได้แก่ อิตาลี ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ *ทุนนี้คือดีงามมากกก มาดูกันว่าภาษาและทัศนคติของเธอพาไปพบกับประสบการณ์แบบไหนมาบ้าง!
"ตอนประถมเราอ่อนภาษาอังกฤษมาก"
ตอนประถมเราไม่เก่งทั้งแกรมมาร์ทั้งสื่อสาร แต่จุดเปลี่ยนคือมีคุณน้าคนนึงตั้งใจสอนจนเราเก่งขึ้นมาได้ การได้ครูดีสำคัญมากจริงๆ แล้วพอมัธยมก็ได้อยู่โรงเรียนที่ไม่แบ่งสายวิทย์กับศิลป์จริงจัง + มีคลาสภาษาให้เรียนเยอะมากกก นักเรียนเลยมีโอกาสค้นหาว่าตัวเอง enjoy กับอะไร หรือสามารถชอบเรียนทั้ง 2 สายไปพร้อมๆ กันได้ ขนาดตอนมหา'ลัยเราเรียนคณะวิศวะฯ ก็ยังมีแพสชันกับการเรียนภาษามากๆ อยู่นะ เวลาเครียดวิชาหลัก ก็ไปหาที่ยึดเหนี่ยวโดยการลงไปเรียนภาษาสเปนที่ศูนย์ภาษาของมหา'ลัย
จนทุกวันนี้เราพูดได้ 5 ภาษา ไทย อังกฤษ จีน เยอรมัน และฝรั่งเศส อาจไม่ได้ fluent ทุกภาษาแต่อย่างน้อยสื่อสารได้เพราะเรียนหลายปีตั้งแต่มัธยม (เยอรมันได้เยอะสุดเพราะ รร.มีคอนเนกชันกับสถาบันเกอเธ่) และไม่เชิงว่ามีโอกาสได้ใช้ครบทุกภาษาขนาดนั้น แต่ได้เพิ่มโอกาสต่อยอดขั้นต่อๆ ไป เหมือนเป็นแต้มต่อให้ไปเจอโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต
*เราอยากถือโอกาสฝากถึงครูแต่ละโรงเรียนที่อาจจะเข้ามาเป็นผู้อ่านตอนนี้ อยากให้เต็มที่กับการสอนให้ใช้เป็นมากกว่าจะเน้นแกรมมาร์อย่างเดียว เพราะจากที่มีโอกาสคุยกับเพื่อนหลายคน เค้าบอกว่าไม่ชอบ eng เพราะครูและการท่องจำ ไม่รู้จำไปทำไม ถ้าบังคับจะพาลปิดกั้นไม่ให้ชอบภาษาอื่นไปด้วย
ขอยกตัวอย่างการเรียนภาษาอังกฤษจากโรงเรียนที่จบมา เราไม่ได้เรียนแค่ท่องจำแกรมมาร์ แต่ครูที่สอนมีการสั่งงานผ่านการอ่านหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษของสำนักพิมพ์ Oxford ซึ่งตรงนี้ เด็กนักเรียนก็จะได้ประโยชน์ทั้งในแง่แกรมมาร์ คำศัพท์ การเขียนตอบคำถามในเนื้อหาของหนังสือที่เด็กได้เลือกอ่านเอง และความเพลิดเพลินต่อการอ่านภาษาอังกฤษด้วยค่ะ
.........
ไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต
แลกเปลี่ยนที่เยอรมนีตอน ม.5
เราได้ทุนโรงเรียนที่เป็นความร่วมมือกับสถาบันเกอเธ่ (Goethe-Institut Thailand) ได้ไปเยอรมนีทำวิจัยเปรียบเทียบคุณภาพการศึกษาของทั้ง 2 ประเทศ ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกความตรงต่อเวลา เมเนจชีวิตและความผิดพลาด ณ ตอนนั้นคือไม่มีใครโอ๋เหมือนเราเป็นเด็กแล้ว
เราไปเห็นอะไรหลายอย่างทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ความตรงต่อเวลาของรถสาธารณะ และการเรียนการสอนที่ให้อิสระกับเด็กมาก ครูจะเน้นให้เข้าใจหลักการ เช่น ตอนสอนอาจสอนสร้างโต๊ะจากไม้ แต่ตอนสอบเปลี่ยนมาให้สร้างเก้าอี้ หรืออย่างวิชาภาษาก็ไม่ได้บังคับให้ท่องจำ นอกจากนี้เรื่องการถกเถียงไม่ใช่ความก้าวร้าว ในทางกลับกันนักเรียนควรกล้ายกมือถามและ discuss กับครูในคลาสด้วย บรรยากาศทุกอย่างดีจนคิดว่า ‘จะทำยังไงให้ตัวเองได้กลับมาอยู่สภาพแวดล้อมแบบนี้อีก?’
.........
เยอรมนีครั้งที่สอง
ได้ทุนมหา'ลัยไปฝึกงาน
ตอนเรียนภาควิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่ ม.เกษตรศาสตร์ ช่วงปิดเทอมปี 3 ขึ้นปี 4 เราได้ทุนไปฝึกงาน 2 เดือนที่ประเทศเยอรมนี พื้นฐานภาษาตอนนั้นคือพูดเยอรมันได้ตั้งแต่ ม.6 สอบได้ระดับ B1 ตอนสมัครขอทุนกับอาจารย์ สกิลภาษาที่มีน่่าจะเป็นแต้มต่อให้ได้ทุนนี้ด้วย พอไปถึงก็สามารถเอาตัวรอดได้ พาเพื่อนที่ไปด้วยกันเที่ยวได้ และสามารถคุยกับ professor เป็นภาษาเยอรมันได้
เราได้ไปทำแล็บในมหา’ลัยในเยอรมนี ไปถึงเช้า เขียนโค้ด พักเที่ยง แล้วกลับมาทำงานต่อ เรารู้สึกเค้าไม่แคร์เลยนะว่าจะกลับช้าหรือเร็ว ขอให้งานเสร็จและมีคุณภาพ เลิกงานตรงเวลาได้โดยไม่ต้องถูกมองแปลกๆ บางที professor ยังถามด้วยซ้ำว่าจะลาวันศุกร์ไปเที่ยวในเมืองหรือประเทศรอบๆ ดูบ้างมั้ย 5555
เคยเจอเหตุการณ์ Racist
ทำให้รู้ว่า 'ตำรวจ(เยอรมนี)ช่วยเหลือเราได้'
เรากำลังเดินระหว่างทางจากบ้านไปมหา’ลัย แล้วอยู่ๆ มีคนนึงวิ่ง jogging เราเลยหยุดรอให้เค้าวิ่งผ่าน คิดว่าผ่านแล้วผ่านเลย แต่คนนั้นดันวกกลับมาเขย่าตัว โชคดีมีพลเมืองดีเห็นแล้วเข้ามาช่วยโทรหาเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่มาเร็วมากกกภายใน 5 นาทีพร้อมอุปกรณ์ ติดต่อกงสุลในไทยด้วย ทุกอย่างเร็วมากๆ แล้วเรื่องทั้งหมดก็จบใน 3 วัน ยิ่งไปกว่านั้นคือมหา’ลัยติดต่อจิตแพทย์ให้เราไปปรึกษา(ฟรีด้วย) เขาใส่ใจมากๆ ถ้าเจอคนดีจะดีมากจริงๆ
รีวิวความเยอรมนีใน 5 ข้อ
- ตอนมาแลกเปลี่ยน ม.5 มุมมองเราคิดว่าเขาดูดุดัน เคร่งขรึม แต่พอไปแลกเปลี่ยนตอนมหา’ลัย เราถึงรู้ว่าก่อนหน้านี้คิดไปเอง ธรรมชาติของภาษาคือมีความกระแทกกระทั้น แต่ถ้าเรื่องบุคลิกนิสัยของคนเยอรมันมีหลากหลาย มีทั้งตรงเวลาและมาเลท ไม่เด็ดขาดก็มี ถ้าใครมีโอกาสไปอยากให้เปิดใจยอมรับกับคนทุกรูปแบบ อย่าตั้งแง่จนปิดกั้นตัวเอง
- อยู่ที่นี่เราสามารถวางแผนชีวิตใน 1 วันแบบแน่นอนได้ เพราะรถสาธารณะมาตรงเวลา คนไม่จำเป็นต้องมีรถส่วนตัว แค่มีจักรยานแค่คันเดียวสามารถขึ้นสถานีรถไฟฟ้าหรือขี่ในเมืองอื่นๆ ได้ (คนที่นี่เน้นขึ้นรถไฟเป็นหลัก) เราฝึกงานเมืองออฟเฟินบูร์ก (Offenburg) ที่อาจไม่ได้ศิวิไลซ์เท่ามิวนิก แต่ก็ยังมีสถานีรถไฟขนาดกลางเป็นจุดชุมทางรถไฟที่ไปลงฝรั่งเศสหรือสวิตเซอร์แลนด์ นอกจากนี้ตั๋วรถไฟฟ้าก็ซื้อง่าย ไม่ต้องต่อแถวแลกเหรียญ การใช้ชีวิตบนถนนหนทางสบายและปลอดภัย รถหยุดให้เราข้ามถนน
- มิวนิก (Munich) จะมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะเป็นเมืองเศรษฐกิจของรัฐบาเยิร์น (Bayern) รายรับสมเหตุสมผลกับความรู้ทางวิชาชีพ ค่าแรงจึงเยอะและค่าใช้จ่ายสูงตาม เพราะรัฐให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคนและทุกสายงาน
- ผู้คนได้ใช้ชีวิตแบบสุนทรีย์ มีพิพิธภัณฑ์กับโรงละครเยอะมาก เด็กมัธยมที่นั่นเลิกเรียนบ่าย 3 แล้วไปหากิจกรรมทำด้วยกัน เช่น เล่นกีฬา ซ้อมดนตรี วาดรูปที่สวน รับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก บางคนฐานะดีแต่ก็ทำงานเสริม ไม่ได้หมดเวลาไปกับการเรียนหนักโดยไม่ได้ค้นหาตัวเอง
- ส่วนตัวรู้สึกอาหารไม่ค่อยถูกปาก ที่นั่นเน้นแป้งกับไส้กรอกและเนื้อสัตว์ วัฒนธรรมการกินคือไม่แชร์ สั่งจานใครจานมัน แล้วร้านอาหารให้จานใหญ่ม้ากกก
.........
ทำงานเป็น Developer ในบริษัทต่างชาติ
สภาพแวดล้อมสุดดีงาม!
เราเข้าไปทำงานบริษัทข้ามชาติชื่อ ExxonMobil เป็น Back-end Developer ภายใต้ตำแหน่ง IT Application Development Engineer ตอนสัมภาษณ์งานครั้งแรก คณะผู้สัมภาษณ์ก็ถามเรื่องการฝึกงานที่เยอรมนี แล้วชวนคุยภาษาจีนต่ออีก อาจจะเป็นข้อได้เปรียบให้ประวัติเราโดดเด่น แล้วพอได้ภาษาจีนก็ทำให้เราถูกเลือกไปทำโปรเจกต์ช่วงเวลาสั้นๆ ที่จีนด้วย
เจอสไตล์การทำงานแบบไหน?
- เราได้ไปอยู่ทีม Developer เพียวๆ เลยค่ะ เขียนโค้ดกันแบบขะมักเขม้น งานมีความชาเลนจ์ ต้องไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ทัน บางเรื่องก็เป็นสิ่งที่เราไม่ทันได้เรียนในมหา'ลัยด้วยซ้ำ
- ทำงานกับเพื่อนร่วมงานหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งจากอเมริกา ยุโรป เอเชีย ฯลฯ เพื่อนร่วมงานน่ารักและทัศนคติดี เราไม่จำเป็นต้องเก็บสิ่งที่สงสัยไว้ในใจเพราะกลัวโดนด่า เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าคุณจะต้องเพอร์เฟกต์ 100% เขาต้องการคนที่เปิดใจและพร้อมพัฒนาตัวเองตลอดเวลา
- คนในทีมสามารถให้ feedback งานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความอาวุโสของอีกฝ่าย เพราะจุดประสงค์คือเถียงกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เอา fact มาฟาดกันแบบตรงๆ 55555 แต่ถึงจะห้ำหั่นขนาดไหน สุดท้ายทุกคนก็กลับมาทำงานด้วยกันดีๆ เหมือนเดิม เวลาต้องการเรียนรู้เชิงเทคนิคหรือ soft skills เขาจะช่วยเหลือและผลักดันกันเต็มที่
- มีกิจกรรมที่ทำงานร่วมกันในบริษัทเยอะ เขาให้โอกาสเรามา lead กิจกรรมใหญ่ของบริษัท เช่น งาน Open House ที่ต้องต้อนรับและพาน้องนักศึกษา 60 คนเยี่ยมชมบริษัท ระหว่างทำงานหลักคือเขียนโค้ดไปด้วย ก็ต้องแบ่งเวลามาโฟกัสงานรอง จัดทีมคิดแผนล่วงหน้านาน 10 เดือน รวมๆ เราได้ฝึก soft skills เยอะมากกก
- นอกจากนี้ยังมี Business Trip ให้เราบินไปทำงานและประชุมที่ต่างประเทศแบบจริงจัง รู้สึกโชคดีที่เขาไว้ใจและกล้าหยิบยื่นโอกาสนี้ให้เราที่เพิ่งจะเข้าทำงานได้แค่ 2 เดือน!
ไปจีนก็เจอความท้าทายอีกแบบนึง
เราได้ไปทำหนึ่งใน process ของโปรเจกต์เทรน Technical Knowledge เหมือนแค่ย้ายที่นั่งเขียนโค้ดจากไทยไปจีนเฉยๆ แหละ แต่ตอนทำงานเราต้องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา เพราะนอกจากต้องทำงานกับคนจีนแล้วก็ยังมีคนจากชาติอื่นๆ ด้วย แล้วที่นั่นก็เป็นบริษัทดังในวงการไอที คนจีนแต่ละคนประสบการณ์ในสายงานโชกโชนมากกก เราอยู่ 3-4 เดือนมีโดนดุนิดหน่อยเพราะเจอบางงานที่ยากจริงๆ แต่หลังจากดุเสร็จเค้าก็ตั้งใจสอนเต็มที่ ทำให้เราได้รู้วิธีแก้ไขปัญหานั้นๆ พอมองย้อนไปคือภูมิใจมาก
บริษัทช่วยซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายทั้งค่าที่พัก อาหาร และเดินทาง แล้วการไปจีนครั้งนั้นทำให้เรามีโอกาสพัฒนาภาษาจีนไปในตัว พร้อมกับเปลี่ยนความเข้าใจผิดที่เคยคิดว่าประเทศจีนต้องไม่สะอาดแน่ๆ เพราะหลังจากไปถึง... เฮ้ยยย ใช้ชีวิตง่ายมาก! ทางเท้าเดินง่าย มีรถบัส รถแทรม รถไฟใต้ดิน ถ้าจะเรียนต่อหรือทำงานก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกันค่ะ
(กลับมาก่อนโควิดเริ่มระบาด ฉิวเฉียดไปอี้ก!)
.........
จิ๊กซอว์ทุกชิ้น พาไปเจอโอกาสใหม่
ได้ทุน ป.โท เรียนต่อ 3 ประเทศ!
เล่าก่อนว่า ทุน Erasmus Mundus Joint Master Degrees (EMJMD) เป็นทุนเรียนต่อระดับปริญญาโทจากสหภาพยุโรป (EU) ส่งไปเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศเครือเชงเก้น 2 ปี ผู้เรียนต้องเลือกอย่างน้อย 2 ประเทศ แต่จะประเทศไหนขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่สมัครค่ะ
ส่วนเราเลือกเรียนสาขา Software Engineering for Sustainability ซึ่งจะได้ไปเรียน 3 ประเทศในยุโรป คืออิตาลี ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ โดยทุนจะครอบคลุมทั้งค่าเดินทาง (ปีละ 3,000 ยูโร) + ค่าเรียนและค่าประกัน (ปีละ 9,000 ยูโร) + ค่าใช้จ่ายรายเดือน (เดือนละ 1,000 ยูโร) + เดินทางไปเดือนแรกได้ 2,000 ยูโร รวมแล้วในระยะเวลา 2 ปีได้เงินสนับสนุนรวม 49,000-50,000 ยูโร ~2 ล้านบาทไทย และเรียนจบโดยไม่ต้องใช้ทุนสักยูโร เรียนฟรี ได้เงินฟรี!
Q: เลือกคณะได้มั้ย?
เราสมัครหลักสูตรที่ต้องการเรียนได้เลย แล้วมาขอทุนทีหลัง บนหน้าเว็บหลักสูตรจะมีบอกไว้ว่าหลักสูตรนี้ provide Erasmus Scholarship
Q: ทำไมเลือกเรียนสาขานี้?
จริงๆ แล้วเราอยากเรียนสายมนุษย์ สายเศรษฐศาสตร์มากกว่าค่ะ แต่ปีนี้หลักสูตรพวกนั้น require แค่คนจบจากคณะนั้น ๆ ซึ่งหลักสูตรนี้ก็ตอบโจทย์เราในแง่ relation คณะที่เราจบมา + เรามีประสบการณ์ทำงานสายนี้อยู่แล้ว + เทรนด์ sustainability กำลังมาแรงมาก ๆ ในฝั่งยุโรป จึงเป็นอีกแรงจูงใจสำคัญค่ะ
Q: ยื่นเอกสารอะไรบ้าง?
- ใบแสดงผลการเรียน (Transcript)
- วิทยานิพนธ์ช่วง ป.ตรี (Thesis)
- จดหมายแนะนำตัว (Motivation Letter) อธิบายถึงแรงจูงใจที่ทำให้เราอยากเรียนต่อในสาขานี้ ต้องอธิบายเหตุผลให้กรรมการเห็นว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่สมควรได้รับการคัดเลือก จำได้ว่าก่อนส่งเราเกลาหลายรอบมาก เพราะต้องใส่ความรู้สึกส่วนตัวและแพสชัน + หา fact มาสนับสนุนเพื่อเพิ่มน้ำหนัก ตอนนั้นมีพี่ที่รู้จักและเคยได้ทุนนี้คอยให้คำแนะนำ
Q: โพรไฟล์และประสบการณ์ช่วงสมัครทุน?
- เคยได้ทุนแลกเปลี่ยนไปเยอรมนีตอน ม.5
- เคยฝึกงานสหกิจ 4 เดือนกับสตาร์ทอัปที่ไทย ตอนปี 3
- เคยได้ทุนฝึกงาน 2 เดือนที่เยอรมนีตอนปี 3
- ทำเกม AR multiplayer เป็นธีสิสจบ
- จบ: วิศวกรรมซอฟต์แวร์และความรู้ @ ม.เกษตร
- เกรดจบ 3.03
- ตั้งแต่ 2562 จนถึงปัจจุบัน ทำงานเป็น Back-end Developer ในบริษัท ExxonMobil
- เคยถูกส่งไปทำงานที่จีน 4 เดือน
Q: เตรียมตัวยังไงบ้าง?
- หาหลักสูตรที่เปิดรับสมัคร ตั้งแต่ช่วงตุลาคมปี 2020 ที่ https://t.co/CulXSufQwW?amp=1
- เข้าไปดู application requirement ที่หลักสูตรกำหนด และ deadline ต่าง ๆ
- เตรียมเอกสารที่หลักสูตรนั้น ๆ require ของเรามีดังนี้
- สำเนาพาสปอร์ต
- สำเนาทรานสคริปต์
- สำเนาปริญญาบัตร
- ผลสอบภาษาอังกฤษ ielts/toefl/cambridge *แต่ละหลักสูตรต้องการคะแนนขั้นต่ำไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่อยู่ที่ 6.5 - 7
- ใบอ้างอิงระบบเกรดจากมหาลัยที่ไทย
- เอกสารอธิบายหลักสูตรที่เรียนของมหาลัยที่ไทย
- เปเปอร์โปรเจกต์/ธีสิสจบ
- motivation letter เขียนว่าทำไมเราถึงอยากเรียน มี perception และ goal ยังไงบ้าง ทำไมตัวเองถึงเหมาะที่จะเรียน
- recommendation letter 2 ฉบับ
- ส่งเอกสารผ่าน portal ของทุนให้ถูกต้องและครบถ้วน
- รอเกือบสองเดือน 5555
- รับอีเมลเรียกสัมภาษณ์ **บางหลักสูตรอาจจะไม่มีสัมภาษณ์ ถ้าเอกสาร eligible ก็จะโดน rank ผ่านเกรดหรือผลงานต่างๆ แล้วได้อีเมลประกาศผลการคัดเลือกเลย
- ตอนสัมภาษณ์ ขอไม่เล่ามากนะคะ เนื่องจากแต่ละหลักสูตรสัมภาษณ์ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าปีหน้า เขาจะสัมภาษณ์แบบเดิมรึเปล่า หลัก ๆ แล้วเขาก็ถามเรื่อง motivation และก็ technical knowledge ค่ะ เราได้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 อาทิตย์
- หลังสัมภาษณ์เสร็จ เรารอผลอีกเดือนนึง แล้วเราก็ได้อีเมลว่าติดตัวสำรองค่ะ (แต่ตอนนี้ติดตัวจริงอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ)
Q: ความยากของทุน?
จริงๆ แล้วแต่คนมองค่ะ เราไม่ได้คิดว่า process มันยาก เพราะแค่เตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม ติดต่ออาจารย์มหาลัย+หัวหน้าที่ทำงานให้เขียนจดหมายแนะนำให้ -> ไปสอบไอเอล (เราสอบแค่ครั้งเดียวแล้วยื่นเลย) และก็เขียน motivation letter
เรามองว่ามันกดดันและ competitive มากๆ ทุน Erasmus ซึ้นชื่อเรื่องการแข่งขันสูง บางหลักสูตรเปิดมานาน คนสมัครเป็นพันแต่รับแค่ 15 คนก็มี ส่วนหลักสูตรเราเปิดปีนี้เป็นปีแรก คนสมัครในหน้าเว็บ 2xx คน application eligibled 9x คน เข้ารอบสัมภาษณ์ 46 คน และให้ทุนจริง ๆ 22 คนค่ะ
และในจำนวน 22 คนนี้ไม่ใช่ว่าแค่คะแนนถึงก็ได้เลย แต่ทุนเรามีการ rank คะแนน และจำกัดจำนวนทุนต่อภูมิภาคประเทศด้วยค่ะ ไม่เกินภูมิภาคละ 3 คน (เราต้องแข่งกับจีน เกาหลี อินโด ฟิลิปปินส์ ปากี ศรีลังกา มัลดีฟท์ ฯลฯ เพื่อเป็น 1 ใน 3) ถ้ามีคนที่ 4 ของภูมิภาคโผล่มา จะโดนปัดไปเป็นตัวสำรองเลย
ส่วนตัวเราก็ตั้งใจและเต็มที่มากๆ ในทุกขั้นตอนแหละ ถ้าติดก็ดี เพราะเป็นครั้งนึงในชีวิต แต่คนอื่นที่เขาสมัครก็ตั้งใจมากๆ เหมือนกัน ความน่ากลัวคือเราไม่รู้เลยว่าคู่แข่งเรามี profile ที่โหดกว่าขนาดไหน เพราะเป็นทุนที่อายุเท่าไหร่ มีประสบการณ์มากี่ปีก็สมัครได้ // อันนี้ขอแชร์ความเครียด ช่วงที่เราต้องเตรียมเอกสาร ไปสอบ IELTS เขียนจดหมายบลาๆ ช่วงนั้นเราเครียดเรื่องงานมากด้วยค่ะ ต้องเทรนพนักงานใหม่ด้วย มันยากนะที่ต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน
ในแง่ Academic เราไม่แน่ใจว่าเราดีพอแล้วรึเปล่า เพราะเกรดไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ในภาคที่จบมาด้วยกัน แต่เราคิดว่าเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะประสบการณ์การฝึกงาน การทำงานในสาย software development และที่สำคัญก็คือเรากินบุญเก่าเรื่องภาษาค่ะ (ย้ำว่าไม่อยากให้ทุกคนทิ้งภาษา!)
อ่านรีวิวขอทุน ERASMUS+ เต็มๆ ที่นี่!.........
ชวนคุยเรื่อง 'ภาษา'
พร้อมแนะนำวิธีที่ตัวเองใช้ได้ผล
Q: จากที่เรียนมา คิดว่าเสน่ห์ของแต่ละภาษาอยู่ที่ตรงไหน?
- ภาษาเยอรมัน เจ๋งและเท่มากกก ออกเสียงคำศัพท์แบบ aggressive (ดุดันสุดๆ!) แล้วรู้สึกสนุกอ่ะ เช่น คำว่าปากกาในภาษาอังกฤษคือ pen แต่เยอรมนีคือ Kugelschreiber โคตรยาว 55555 แกรมมาร์ยาก หลักการเยอะ จนมีเพจนึงทำมีมตลกๆ แบบ 'Life is too short to learn German'
- ภาษาฝรั่งเศส เราอาจแนะนำไม่ได้เพราะไม่ค่อยมีโอกาสใช้ทำงาน แต่เราชอบท่องเลขภาษาฝรั่งเศสอ่ะ สนุกดี ชื่อสถานที่กับชื่อคนก็ฟังแล้วหรูหรา บางทีถ้าได้ภาษาอังกฤษ ฟังศัพท์ฝรั่งเศสอาจพอเดาคำแปลได้บ้าง
- ภาษาสเปน เราชอบเวลาฟังเพลง ดูหนัง ฟังบทสนทนาแล้วลื่นไหล ไม่ได้เข้าใจมากหรอก แต่สังเกตว่าลิ้นเค้าไปรัวมาก (เคยคุยกับครูสองภาษานี้เค้าบอกว่าถ้าเรียนฝรั่งเศสได้ก็เรียนสเปนได้ ยากพอกัน)
- ภาษาจีน ไวยากรณ์คล้ายไทย หลักการจำไม่เยอะ แต่ยากตรงตัวอักษรและตัวเขียน แต่ในขณะเดียวกัน เสน่ห์ก็อยู่ที่ตัวอักษรจีนเหมือนรูปวาด การฝึกเขียนเหมือนฝึกจินตนาการและสมาธิ การตวัดเส้นปากกาก็มีผล ถ้าใครชอบซีรีส์หรือนิยายจีนน่าจะง่าย
- ภาษาไทย เราชอบมาก ไม่ใช่เพราะเป็นภาษาแม่นะ แต่เรารู้สึกไวยากรณ์ไทยมีอะไรให้เล่นเยอะ คำแปลที่ปรากฏในนิยายแปล ซับหนัง พอแปลแล้วสวยจะมีเสน่ห์มาก ความยากไม่แพ้ภาษาในยุโรปเลยแหละ เราคิดว่าต่อให้เก่งภาษาอื่นแค่ไหนก็อย่าลืมใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย
Q: ทั้งหมดนี้ตีกันมั้ย?
แน่นอนที่สุด 5555 เผลอเอาแกรมมาร์ภาษานึงมาใช้อีกภาษานึง และความยากคือการต้องแบ่งเวลาจำศัพท์หลายๆ ภาษาด้วย
Q: อยากเรียนให้ได้ผลควรเริ่มจากไหน?
ควรเริ่มจากภาษาที่ตัวเองชอบเป็นหลัก หาแรงบันดาลใจให้เจอว่าอะไรทำให้ enjoy กับการเรียนภาษานั้นๆ ส่วนในแง่การใช้ประโยชน์อาจเป็นเหตุผลรอง เพราะต่อให้สร้างรายได้แต่ไม่ชอบก็ทรมานอยู่ดี แต่ถ้าใครที่มีตัวเลือกในใจเยอะ ลองหาเวลาเรียนหลายๆ ภาษาไปก่อน ถ้าไม่คลิกค่อยตัดช้อยส์ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจง่ายๆ หมั่นฝึกฝนท่องจำ อย่ากลัวหรืออายที่จะพูด ถ้ามีทุนอาจลองไปเรียนสถาบันหรือหาคอร์สออนไลน์ก็ได้ แต่ถ้าให้เราแนะนำสักภาษานึง ภาษาเยอรมันก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดีเพราะมีทุนเรียนต่อเยอะ และมีบริษัทในไทยเยอะด้วย
Q: แนะนำช่องทางฝึกภาษาเยอรมนี
ถ้าใครจะมาเที่ยวหรือแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน แค่ภาษาอังกฤษระดับสื่อสารก็พออยู่ได้ แต่ถ้าต้องใช้เรียนหรือทำงานเอกสารควรได้อย่างน้อย B2
แหล่งฝึกภาษาเราแนะนำให้ฟัง Podcast เป็นประจำ หรือลองไปดูเว็บเกอเธ่ เค้าจะมีบทเรียนเรื่องการออกเสียงฟรีๆ (https://www.goethe.de/ins/th/th/spr/ueb.html) หากมีเวลาก็อยากให้ลองร่วมอีเวนต์ที่ทางสถานทูตเยอรมนีในประเทศไทยจัด มีหลายอีเวนต์ฟรีจาก EU ที่ดีมาก ๆ ที่เปิดให้นักเรียนนักศึกษาเข้าร่วม ไปพบปะพูดคุยเป็นภาษานั้น ๆ หรือหากมีทุนพอก็อยากให้หาโอกาสไปแลกเปลี่ยนหรือฝึกงานที่นั่นโดยตรง จะช่วยพัฒนาทักษะการพูดได้เยอะมาก คนเยอรมันใจดีนะ :)
.........
รัวมือ!! ต้องขอแสดงความยินดีกับนักเรียนไทยที่จะได้ไปสัมผัสระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมในยุโรปเร็วๆ นี้นะคะ เราเชื่อเลยว่าเรื่องราวของพี่กี้จะทำให้ผู้อ่านยิ่งอยากพัฒนาภาษาขึ้นเรื่อยๆ // สำหรับใครที่อยากเรียนภาษาเยอรมัน นอกจากช่องทางที่พี่กี้แนะนำไปแล้ว เราก็ขอมาชี้เป้าคอร์สฟรีที่น่าสนใจ คลิกที่โพสต์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ :)
1 ความคิดเห็น
สวัสดีค่ะ พี่เขียนดีมากเลยค่า อ่านแล้วรู้สึกมีแรงบันดาลใจมากๆเลยค่ะ ขอปรึกษาหลังไมค์ได้ไหมคะ